เปรียบเทียบการใช้งานยาคุมหญ้า และ ยาฆ่าหญ้าต่างกันยังไง
วัชพืช หรือ หญ้าไม่พึงประสงค์ในพื้นที่เกษตรกรรมเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของพืชหลัก ทำให้ได้ผลผลิตไม่ตามเป้าหมาย และเพิ่มต้นทุนในการจัดการ ยาคุมหญ้า หรือ สารกำจัดวัชพืชประเภทก่อนงอก เป็นสารเคมีที่ใช้ฉีดพ่นหลังปลูกพืช และ ก่อนที่วัชพืชจะงอกในช่วงเวลาประมาณไม่เกิน 10 วัน เป็นการฉีดพ่นลงไปในผิวดินโดยตรง สารเคมีพวกนี้จะเข้าไปทำลายวัชพืชทางส่วนของเมล็ด ราก และยอดอ่อนใต้ดิน โดยต้องฉีดพ่นในสภาพที่ดินมีความชื้นเหมาะสม ดังนั้นการควบคุมวัชพืชจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งวิธีหนึ่งที่นิยมใช้คือการใช้สารเคมีจำพวก ยาคุมหญ้า และยาฆ่าหญ้า เป็นต้นดังนั้น ในบทความนี้จะกล่าวถึงความแตกต่างของยาทั้งสองประเภท วิธีการเลือกใช้ รวมถึงข้อดี ข้อควรระวังในการใช้งานเพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสม
ความแตกต่างระหว่างยาคุมหญ้า และยาฆ่าหญ้า
- ยาคุมหญ้า (Pre-emergent Herbicide)
เรามาทำความเข้าใจก่อนว่านิยามของยาคุมหญ้าคืออะไรซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้ป้องกันการเจริญเติบโตของวัชพืช โดยทำงานผ่านการยับยั้งการงอกของเมล็ดหญ้า และวัชพืชก่อนที่มันจะเติบโตขึ้นมาเหนือดิน มีหลักการทำงาน ดังนี้สารเคมีจะสร้างชั้นป้องกันบนผิวดิน หรือ แทรกซึมในดินเพื่อหยุดการงอกของเมล็ดหญ้า จะใช้ระยะเวลาก่อน หรือหลังปลูกพืชหลักเล็กน้อย แต่ต้องใช้ก่อนที่วัชพืชจะงอกขึ้นมา ส่วนใหญ่จะเป็นสารแบบเลือกทำลายเมล็ดวัชพืช ควบคุมการเจริญเติบโตของวัชพืช ซึ่งจะไม่ทำลายพืชประธาน
ตัวอย่างสารเคมีที่ใช้ในยาคุมหญ้า อะลาคลอร์ (Alachlor) เพนดิมีทาลิน (Pendimethalin) เมทโอลาคลอร์ (Metolachlor) และอะทราซีน (Atrazine)
มีข้อดีในการใช้งานยาคุมหญ้าจะช่วยลดการแข่งขันระหว่างพืชหลักกับวัชพืชตั้งแต่ต้น ช่วยป้องกันวัชพืชได้ยาวนานโดยไม่ต้องพ่นซ้ำบ่อย และ ใช้ได้ผลดีกับวัชพืชใบแคบ ใบกว้างหลากหลายชนิด แต่ก็มีข้อเสียหากใช้อย่างไม่เหมาะสม อาจมีผลตกค้างในดิน หรือ เป็นพิษต่อพืชหลัก อีกทั้งต้องเตรียมดินให้เหมาะสมก่อนใช้ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด และไม่สามารถควบคุมวัชพืชที่งอกขึ้นมาแล้วได้
ข้อแนะนำ หากพบสารตกค้างในดินมากไปทำให้หน้าดินแข็งอันเกิดจากใช้ยาคุมสะสมมานาน แนะนำให้ใช้ ไฮโซเมท ที่ช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน กระตุ้นให้รากพืชแข็งแรง สร้างภูมิคุ้มกันสภาวะแห้งแล้ง ดินเค็มได้ดี
- ยาฆ่าหญ้า (Post-emergent Herbicide)
สำหรับยาฆ่าหญ้านั้นมีเป็นสารเคมีที่ใช้กำจัดวัชพืชที่งอกขึ้นมาแล้วมีวิธีการทำงานโดยสารเคมีจะดูดซึมเข้าสู่ต้นวัชพืชผ่านใบ หรือ ราก แล้วทำลายการทำงานของเซลล์ ทำให้พืชเหี่ยวเฉา และตายในที่สุดมีระยะเวลาการใช้หลังจากวัชพืชงอกขึ้นมา และแสดงอาการเจริญเติบโตก็สามารถใช้ได้แล้ว โดยสารกลุ่มนี้จะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ยาฆ่าหญ้าแบบเลือกทำลาย และ ยาฆ่าหญ้าแบบไม่เลือกทำลาย ตัวอย่างสารเคมีที่ใช้ในยาฆ่าหญ้าแบบไม่เลือกทำลาย เช่น กลูโฟซิเนต (Glofosinate) ไกลโฟเสต (Glyphosate) และพาราควอต (Paraquat)
มีข้อดีในการใช้ยาฆ่าหญ้าดังนี้ สามารถกำจัดวัชพืชได้อย่างรวดเร็ว เห็นผลชัดเจน อีกทั้งยังใช้ได้กับวัชพืชที่งอกขึ้นมาแล้วทุกระยะ และเหมาะสำหรับการกำจัดวัชพืชเฉพาะจุด หรือ ในพื้นที่ที่ควบคุมได้ยาก แต่ก็มีข้อเสียที่อาจทำลายพืชหลักได้ หากฉีดพ่นโดยไม่ระวัง ต้องพ่นซ้ำเมื่อวัชพืชงอกใหม่และมีความเสี่ยงต่อสุขภาพผู้ใช้และสิ่งแวดล้อมหากใช้อย่างไม่ถูกต้อง
แนวทางการเลือกใช้ยาคุมหญ้า และ ยาฆ่าหญ้า
- เลือกตามชนิดของวัชพืช
ในการเลือกใช้ยาคุมหญ้า หรือ ยาฆ่าหญ้านั้นควรพิจารณาว่าใช้กับวัชพืชใบแคบ (Grass weeds) เช่น หญ้าตีนกา และหญ้าข้าวนก ควรเลือกใช้สารเคมีเฉพาะกลุ่ม เช่น เพนดิมีทาลินสำหรับยาคุมหญ้า หรือ กลูโฟซิเนตสำหรับยาฆ่าหญ้า และหากเป็นวัชพืชใบกว้าง (Broadleaf weeds) เช่น ผักเบี้ย และ กระดุมเงิน ควรใช้สารเคมีเช่น อะลาคลอร์ หรือ กลูโฟซิเนต(กำจัดได้เช่นกัน) เป็นต้น
- เลือกตามช่วงเวลาการใช้
อีกทั้งหากต้องการป้องกันไม่ให้วัชพืชงอกควรใช้ ยาคุมหญ้า ก่อนปลูกพืชหลัก หรือ ก่อนที่วัชพืชจะงอก แต่หากวัชพืชงอกขึ้นมาแล้ว ควรใช้ยาฆ่าหญ้า เพื่อกำจัดโดยตรงจะได้ผลดีกว่า
- เลือกตามพืชหลักที่ปลูก
ในการเลือกใช้ยาคุมหญ้า หรือ ยาฆ่านั้น เราจำเป็นจะต้องเลือกตามพืชที่ปลูก เช่น ข้าวโพด และ ถั่ว แต่หากเป็น อ้อย และมันสำปะหลัง สามารถใช้ทั้งยาคุมหญ้า ยาฆ่าหญ้าในขั้นตอนต่างๆ ของการเจริญเติบโตได้ สุดท้ายหากเป็นสวนผลไม้ และไม้ยืนต้น ควรใช้ยาฆ่าหญ้าเฉพาะจุด เพื่อลดความเสี่ยงต่อพืชหลักอาจจะได้รับผลกระทบได้
ข้อควรระวังในการใช้ยาคุมหญ้า และ ยาฆ่าหญ้า
ในด้านการใช้ไม่ว่าจะยาฆ่าหญ้า หรือ ยาคุมหญ้านั้นควรมีการคำนวณปริมาณ และความเข้มข้นจะต้องผสม และ ใช้งานตามคำแนะนำของผู้ผลิตเสมอ เพื่อป้องกันการตกค้าง และความเสียหายต่อดิน อีกทั้งในการใช้นั้นควรสวมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น ถุงมือ หน้ากาก และชุดป้องกันสารเคมี เสมออีกทั้งควรหลีกเลี่ยงการฉีดพ่นในช่วงที่มีลมแรง หรือ ใกล้แหล่งน้ำเพื่อป้องกันการกระจาย สำหรับในการจัดเก็บ และ กำจัดบรรจุภัณฑ์ควรเก็บในที่ปลอดภัย และกำจัดภาชนะบรรจุอย่างถูกต้อง เพื่อลดการปนเปื้อนของสารเคมี แล หากต้องการป้องกันการดื้อยาควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีซ้ำชนิดเดิมเป็นเวลานาน เพราะวัชพืชอาจพัฒนาภูมิต้านทานได้
จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าการเลือกใช้ยาคุมหญ้า และ ยาฆ่าหญ้าให้เหมาะสมขึ้นอยู่กับชนิดของวัชพืช พืชหลักที่ปลูก และ ช่วงเวลาที่ต้องการควบคุม การใช้ยาคุมหญ้าเหมาะสำหรับการป้องกันวัชพืชตั้งแต่ต้น ส่วนยาฆ่าหญ้าเหมาะสำหรับการกำจัดวัชพืชที่เติบโตขึ้นมาแล้ว ทั้งนี้ การใช้อย่างปลอดภัย และถูกต้องทำตามคำแนะนำ จากผู้ผลิตซึ่งจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ สุขภาพของผู้ใช้ เกษตรกรควรเรียนรู้ และวางแผนการจัดการวัชพืชให้รอบคอบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และ รักษาสิ่งแวดล้อมในระยะยาวหากกำลังมองหายาคุมหญ้า หรือ ยาฆ่าที่มีประสิทธิภาพ และ ปลอดภัยแล้วเราขอแนะนำ บริษัท เคมแฟค จำกัด ซึ่งยังมีการนำเข้าผลิตภัณฑ์เคมีเกษตร และ ยากำจัดแมลงศัตรูพืช อาทิ ยาป้องกัน หรือ กำจัดเชื้อโรคต่างๆ ในพืช อีกทั้งยังมี ยาฆ่าแมลง ยากำจัดเพลี้ย ยาฆ่าหนอน ยาคุมหญ้า ยาฆ่าหญ้า และยาฆ่าหญ้าในนาข้าว ที่มีคุณภาพที่ผ่านมาตรฐาน ISO 9001 และ ISO/IEC 17025 รายแรกของไทย จึงมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์เคมีของเราสามารถป้องกันกำจัดแมลง โรคพืช วัชพืช ได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน
โรงงาน บริษัท เคมแฟค จำกัด
990 นิคมอุตสาหกรรมบางปู หมู่ 2
ต.บางปูใหม่ อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ 10280
โทร. 02-709-2597-8 แฟกซ์: 02-709-6784
สำนักงาน บริษัท เคมแฟค จำกัด
68 ซ.เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 34
แขวงหนองบอน เขตประเวศ กทม. 10250
โทร. 02-7267498-99 แฟกซ์: 02-709-6784